ปีเตอร์ โดเฮอร์ตี้’ ตำนานผู้ไร้ซึ่งวันตาย

ปีเตอร์ โดเฮอร์ตี้’ ตำนานผู้ไร้ซึ่งวันตาย

ประเภทบทความ: 

ตำนาน

ปีเตอร์ เดอร์มอธ์ โดเฮอร์ตี้ ยอดศูนย์หน้าผู้ไร้ซึ่งวันตายของ”เรือใบสีฟ้า”แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าของตำแหน่ง”อินไซด์ ฟอเวิร์ด”ใน

ตำนาน (มีลักษณะคล้ายตำแหน่งศูนย์หน้าตัวฟรี แต่นิยามของตำแหน่งนี้ค่อนข้างจะมีความแตกต่างกับปีก โดยจะมีหน้าที่ตัดเข้าใน

และคอยสนับสนุนศูนย์หน้าจากแถวสอง) เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1913 ณ เมืองคันทรี่ ลอนดอนเดอร์ลี่ ในประเทศไอร์แลนด์

ก่อนจะเสียชีวิตลงอย่างสงบใน โพลตัน เล ไฟลด์, แลงคาเชอร์ในอังกฤษ สิริได้ 76 ปี ซึ่งปัจจุบันหากเจ้าตัวยังคงมีชีวิตอยู่ โดเฮอร์

ตี้เองจะมีอายุขึ้นสู่ 101 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดเฮอร์ตี้ เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ และเคยเป็นผู้จัดการทีมให้กับหลายสโมสรดังในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นดอนคาสเตอร์

โรเวอร์ส, บริสตอล ซิตี้ หรือแม้กระทั้งทีมชาติไอร์แลนด์เหนือของเขาเอง ส่วนในเรื่องชีวิตการค้าแข้งของเจ้าตัวก็เคยสร้างเรื่องอัน

น่าน่าจดจำให้เกิดขึ้น และยากที่จะลืมเลือน

 

โดยเจ้าตัวนั้นเริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งของตัวเองอย่างเต็มตัว กับสโมสรเกลนตรัน ในลีกไอริช หลังจากช่วยให้เกลนโตรันเองบรรลุ

เป้าหมายคว้าแชมป์ไอริช คัพ มาครองเจ้าตัว ช่วงต้นฤดูกาล 1933-34 โดเฮอร์ตี้จึงตัดสินย้ายไปเล่นให้กับสโมสรแบล็กพูลใน

อังกฤษ แต่ด้วยอายุเพียง 19 ปี เจ้าตัวกลับทำผลงานได้อย่างน่าพอใจด้วยการทำ 29 ประตู จากการลงเล่น 89 นัดในลีกตลอดช่วง

3 ซีซั่น ก่อนเจ้าตัวจะย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1936 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติสโมสรในตอนนั้น ถึง 1

หมื่นปอนด์ อย่างไรก็ตามก็มีการเปิดเผยออกมาว่า เจ้าตัวโดเฮอร์ตี้เองได้แสดงความต้องการไปยังสโมสรแบล็กพูลว่าเขาไม่

ต้องการที่จะออกจากทีม หลังเตรียมสละโสดกับสาวท้องถิ่น พร้อมกำหนดการณ์แต่งงานและซื้อเรือนหอหลังใหม่บริเวณใกล้สโมสร

แบล็กพูล

 

อย่างไรก็ตามด้วยความจำเป็นของแบล็กพูลที่ตอนนั้นมีความต้องการเงินอย่างมาก ในการเข้ามาบริหารสภาพคล่องในสโมสร จึงจำ

ใจที่จะขายโดเฮอร์ตี้ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปในที่สุด ทว่าเกมแรกของเขาในการเปิดตัวกับแมนฯซิตี้ที่ต้องพบกับทางเปรสตัน

นอร์ธ เอรน กับทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ โดยเจ้าตัวถูกทางบิล แชงคลีย์ ตำนานของลิเวอร์พูลที่สมัยนั้นยังคงค้าแข้งอยู่กับเปรสตัน

ตามประกบติดจนไม่สามารถสร้างผลงานได้เข้าฟอร์มเลยตลอดทั้งเกม

 

แน่นอนว่า”ตำนานก็คือตำนาน”เจ้าตัวสามารถระเบิดฟอร์มในฤดูกาลต่อมากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้กระนั้นฤดูกาลแรกของเขาจะได้

ลงกับซิตี้ไปเพียง 9 เกม แต่เจ้าตัวก็สามารถทำประตูให้กับ”เดอร์ บลูมูนส์”ไปถึง 4 ประตูด้วยกัน โดยในฤดูกาล 1936-1937 หรือปี

ถัดมาเจ้าตัวก็สามารถสร้างชื่อได้สำเร็จด้วยการทำประตู 30 ลูกจากการลงเล่นเพียง 41 เกม รวมไปถึงซีซั่นต่อมาด้วยโอกาสการลง

เล่นที่เท่าเดิมเจ้าตัวทำประตูไป 23 ประตู และ 17 ประตูจาก 28 เกมในปีถัดมา ก่อนปิดท้ายด้วยซีซั่น 1939-1940 ด้วยการลงเล่น

เพียง 3 เกม ทำ 2 ประตู (ช่วงสงครามโลกทำให้แทบจะทุกๆแมตซ์ไม่มีการบันทึกเป็นสถิติอย่างเป็นทางการไว้)

 

ซึ่งรวมๆทั้งหมดแล้วปีเตอร์ โดเฮอร์ตี้ ทำประตูไปถึง 81 ประตูตลอดการลงสนาม 133 เกม ในถิ่นเมนโรดส์รังเก่าของแมนเชสเตอร์

ซิตี้ แน่นอนว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แม้โดเฮอร์ตี้เองจะต้องเข้าประจำการในกองทัพอากาศ แต่เจ้าตัวก็ยังคงเล่นให้กับ

แมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่างต่อเนื่อง และทำประตูไปถึง 60 ประตู ใน 89 เกมช่วงสงคราม อย่างไรก็ตามก็เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วง

สงครามนั้นจะไม่มีการบันทึกสถิติใดๆอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเลย

 

ก่อนฤดูกาล 1945–1946 เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับดาร์บี้ เคาร์ตี้, ฮัดเดิ้ลฟิลด์ ยูไนเต็ด และดอนคาสเตอร์ โรเวอร์สตาม

ลำดับ อย่างไรก็ตามในปี 1949 แม้เจ้าตัวจะเป็นหนึ่งในนักเตะในของทีมดอนคาสเตอร์ แต่ถึงกระนั้นโดเฮอร์ตี้ก็เข้ารับบทบาทเป็น

กุนซือควบคู่ไปด้วย หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็ไปรับหน้าที่เป็นกุนซือให้กับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือต่อในช่วงปี 1951-1962 และนำ

ไอร์แลนด์เหนือเข้าสู่ฟุตบอลโลก 1958 ที่สวีเดน และทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ทั้งนี้เจ้าตัวเองยังเคยเป็นกุนซือให้กับทีม

บริสตอล ซิตี้อีกด้วย


ชีวิตของเขาหลังจากนั้น ได้กลายเป็นทีมสเการ์ของ”หงส์แดง”ลิเวอร์พูล ยอดทีมแห่งเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ ซึ่งผลงานอันเด่นดังของโด

เฮอร์ตี้นั้นก็คือการค้นพบ เควิน คีแกน นักเตะที่กลายมาเป็นตำนานของลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

 

แน่นอนว่าผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาตลอดเส้นทางการค้าแข้ง ไม่ว่าจะเป็นพาแมนเชสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์ลีกในปี 1937 และพา

ดาร์บี้ เคาร์ตี้ เถลิงแชมป์เอฟเอคัพปี 1946 ทำให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษตัดสินใจมอบตำแหน่งฮอล ออฟ เฟรม หรือผู้เล่นแห่ง

เกียรติยศให้กับเขาในปี 2002 ทั้งนี้หลังจากการเสียชีวิตของเขาในปี 1990 บ้านเกิดของเขาในมาเกอราเฟลท์, ไอร์แลนด์ก็ได้รับ

การประดับและส่งมอบด้วยโล่เกียรติยศ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนสามารถที่จะแวะเวียนไปเยี่ยมชมกันได้อยู่ ปัจจุบันเปิดเป็นร้านตัดผม.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *